Table of Content

เนื่องด้วยวันนัยแห่งความทรงจำ

Table of Content

...

ผมเฝ้าถามตัวเองมาตลอดเวลาว่า ตัวผมในอดีตกับตัวผมในปัจจุบันเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า หรือผมในปัจจุบันกับผมในอนาคตจะยังเหมือนเดิมอยู่หรือไม่

ทุกคนพอเจอคำถามนี้ก็คงจะตอบกับผมว่า เอ้อ ก็ต้องเป็นคนเดียวกันอยู่สิ ยังถือหมายเลขบัตรประชาชนเลขเดิม ยังมีชื่อเดิม พ่อแม่ของผมยังเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยน ผมยังมีชื่อเสียงเรียงนามที่ยังเหมือนเดิมอยู่ แต่ถ้าเริ่มคิดลึกย้อนขึ้นไป ทุกคนก็จะเริ่มพบว่าทุกอย่างดูซับซ้อนมากขึ้น เพราะนักปราชญ์ทั้งหลายก็จะเริ่มนิยามว่าตกลงตัวตนนั้นคืออะไร คือสมอง? คือร่างกาย? หรือว่าเราเป็นเพียงแค่เศษอะตอมหลายๆ ลูกที่มากอปรกันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ภายในน่ารังเกียจตัวหนึ่ง?

มีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง (ที่ผมจำไม่ได้แล้ว) คำนวณว่าทุกๆ อะตอมในร่างกายมนุษย์จะไม่เหมือนเดิมเลยทั้งหมดในทุกๆ สามสิบปี นั่นหมายความว่าในแต่ละวันที่เรากินข้าวและขับถ่ายออกมา ทุกวันๆ เราก็จะเริ่มไม่เหมือนเดิมไปทีละเล็กทีละน้อย ทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปจนสุดท้ายก็ – ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมเลยสักอย่างเดียว

เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้มีแต่ร่างกายอย่างเดียว เรามีความรู้สึก มีความรัก มีความชัง ชอบ ไม่ชอบ ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นในแต่ละวันนั้นเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราตลอดเวลา กระแทกและสึกกร่อน สั่นคลอนตัวตนของเราไปทุกวันเรื่อยๆ จนสุดท้ายท้ายสุด จิตใจของเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แล้วถ้า แม้แต่จิตใจของเรายังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วตกลงนั้น ตัวตนของเรามันมีจริงหรือเปล่านะ

เราต่างก็เหมือนกับแม่น้ำที่มีน้ำไหลผ่านตลอดเวลา น้ำคือสิ่งที่เป็นตัวมันอยู่แล้ว ส่วนแม่น้ำเป็นเพียงแค่สิ่งที่สมมติขึ้นมา ที่ทุกคนตั้งใจให้เราเป็น เพื่อที่จะนึกถึงเราได้อย่างชัดเจนว่า อ่อ คนนี้คือคนนั้น คนที่เราเคยรู้จัก แม่น้ำมันก็มีช่วงฤดูกาลของมันที่แตกต่าง บางครั้งมันก็ใสสะอาด น่าเข้าไปแหวกว่าย เป็นมิตร มีแต่ความสดชื่นเบิกบาน บางครั้งช่วงฤดูน้ำหลาก แม่น้ำก็จะสีหม่น มัวหมอง ไม่เป็นมิตร น่าเกลียดน่ากลัว ไม่มีใครเข้าไปแหวกว่าย

คนอื่นที่เป็นคนที่มองแม่น้ำนั้นครั้งแรก ถ้ามาในช่วงที่น้ำขุ่นพอดี ก็จะยึดว่า แม่น้ำนี้สีขุ่น ไม่น่าว่าย ไม่น่านำมากินมาใช้ พอมาถึงแม่น้ำอีกครั้งหนึ่งก็จะยังไม่ไว้ใจ ยังรู้สึกว่าอันตราย กลับกันหากเจอครั้งแรกเป็นแม่น้ำที่ใสสะอาดดื่มได้ใช้ได้ ก็จะจดจำไปตลอดว่าแม่น้ำนี้ดี น่าใช้ ถึงแม้ว่าแม่น้ำนั้นจะมีช่วงที่ขุ่นขลัก เขาก็จะยังรอจนกว่าน้ำในแม่น้ำจะใส ก็จะกลับมากินมาใช้เหมือนเดิมอย่างที่เคยทำ

หากแม่น้ำนั้นมีชีวิตจิตใจ ก็คงจะรู้สึกดีใจที่มีคนมากินมาใช้ หรือคงจะเสียใจถ้าไม่มีใครอยากเข้าใกล้อยากมา แต่ท้ายที่สุด สิ่งที่เป็นแม่น้ำ ที่มีคนรัก คนชัง ก็เป็นแค่ทางน้ำไหลทางหนึ่ง ที่ไม่ได้มีตัวมีตนอะไรเด่นชัดเลย เป็นเพียงแค่ทางน้ำธรรมดาๆ ที่มีน้ำมาให้คนกินคนดื่มเท่านั้น

ทุกๆ อย่างที่เรามีอยู่ ทั้งร่างกายและการรับรู้ ความรู้สึก ความต้องการจะทำ หรือแม้แต่ความทรงจำ ต่างก็เหมือนกับแม่น้ำที่มีน้ำไหลผ่าน อาจจะเป็นเวลาเพียงแค่สามปีที่น้ำหลายสีหลายเฉดผ่านมาอย่างบ้าคลั่ง ทุกความรัก และความชัง ที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำทุกสาย เดี๋ยวก็มี เดี๋ยวก็หาย ตามสีของแม่น้ำที่เกิดบ่อยๆ ในช่วงเวลานั้นๆ ความรักและความเกลียดชังนั้นคงจะเป็นเพียงสิ่งที่ใช้ไม่ได้อีกต่อไปหากแม่น้ำนั้นเปลี่ยนสีไปแล้ว

สมมติว่าถ้านายเสียมเก็บความเกลียดชังของเขาเอาไว้กับแม่น้ำสายหนึ่ง เขาจะไม่มีวันกินน้ำของแม่น้ำที่อาจจะใสสะอาดกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ตอนนั้นเขาอาจจะหิวน้ำมากๆ ถ้าขาดน้ำแล้วจะตายแน่ๆ แต่ก็ยังไม่มองน้ำในแม่น้ำนั้นเลยเพราะความเกลียดชังของตัวเองที่ยึดถือไว้ ในทางกลับกันถ้านางแหลมเก็บความรักความหลงใหลกับแม่น้ำสายหนึ่งที่เคยใสมาก่อน แต่วันนั้นมันช่างขุ่นมัวเสียเหลือเกิน นางแหลมก็อาจจะได้ดื่มน้ำที่สกปรก มีพิษ และอาจตายเพราะน้ำในแม่น้ำนั้นก็ได้

ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความหมายในเรื่องตัวตนในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มันไม่สำคัญหรอก แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุด ณ ตอนนั้นคือ เรามองโลกในแง่ของ “ความเป็นจริง” มากกว่า “ความยึดของตัวเอง” ยึดว่ามันเคยเป็นยังไง หรืออยากให้มันเป็นยังไง

สามปีที่ผ่านมา เราเจอแม่น้ำกว่า 240*5 + ฯลฯ สาย ที่มีทั้งขุ่น และใส ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน วันนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะปล่อยวางความรู้สึกที่มองอย่างไม่เป็นจริงของเรา อย่ายึดว่าแม่น้ำนี้ใส หรือขุ่น ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดเวลา เราต้องมองตามความจริงว่าตอนนั้นมันเป็นอย่างไร แล้วมันจะทำให้เราอยู่กับทุกคนอย่างมีความสุขมากขึ้น

ในโรงเรียน มันก็ต้องมีทั้งคนที่เราชอบและไม่ชอบ แต่เราก็ (ในอุดมคติ) พยายามที่จะแนะนำเพื่อนตลอดเวลา พยายามมองทั้งข้อดีกับข้อเสียของคนอย่างแยกให้ออก เหมือนกับแม่น้ำที่ไร้สารพิษ แต่ขุ่นเพราะโคลน เราก็แค่กรองดินกรองทรายออกก็ใช้ได้เหมือนเดิม แต่อย่างบางแม่น้ำอาจจะเป็นน้ำใส แต่สารพิษละลายอยู่ในน้ำเข้มข้น จะกรองออกก็ไม่ได้ต้องระเหยแห้ง ก็ยากที่จะแก้ไขไปอีก เราก็อาจจะไม่กินน้ำจากแม่น้ำนั้นจนกว่าน้ำจะใสและกลับมาปลอดภัยอีกครั้ง เป็นต้น

สิ่งที่เขียนมาทั้งหมดนี้ (รวมถึงที่เขียนบ่อยๆ ที่ผ่านมาด้วย) เป็นสิ่งที่ผมอยากจะบอกให้กับคนที่กำลังจะจบไปทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นตัวของผมเอง เพื่อน รุ่นน้องทุกๆ รุ่น รวมถึงคนที่ยังคงอยู่ในโรงเรียนด้วย หลังจากจบจากนี้ เราอาจจะไม่ได้เจอแม่น้ำบางสายอีกแล้ว แต่บางสายอาจจะเจออีก เปิดใจให้กับมัน แล้วทุกอย่างจะดีเอง

ปล. (นอกเรื่อง) ถึงความจำจะสั้น แต่ก็รักทุกคนนะครับ 😌

Nutchanon J's Stories

รวมบทความของนิสิตคณะวิศวะฯ คนหนึ่งในจุฬา ที่เรียนภาคไฟฟ้า

Powered by Bootstrap 4 Github Pages