Table of Content

72 ข้อที่พี่อยากบอกก่อนสำหรับน้องๆ ที่อยากเข้า MWIT

Table of Content

...
  1. ข้อสอบคัดนักเรียนเข้าเป็นข้อสอบที่คัดสรรมาอย่างดีโดยคณาจารย์ในโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ซึ่งเนื้อหาทั้งหมด (รอบ 1) เป็นเนื้อหา ม. ต้น ล้วนๆ (ถ้ามีเนื้อหา ม. ปลาย ข้อสอบจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมมาเอง) ซึ่งทุกอย่างในข้อสอบจะวัดสองอย่างหลักๆ คือ มีความรู้ม.ต้นแน่นไหม กับ มีความคิดวิเคราะห์มากพอหรือเปล่า
  2. ซึ่งถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องแปลกใจ จากประสบการณ์ของพี่เอง รอบแรก คณิตทำได้แค่ครึ่งเดียว ส่วนวิทย์ก็พยายามทำให้ทัน
  3. ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การรู้เนื้อหา ม.ปลายจะทำให้ทำข้อสอบได้เปรียบมากขึ้น (เฉพาะข้อสอบวิทย์นะ)
  4. ส่วนข้อสอบคณิตก็มักเป็นแบบคิด วิเคราะห์ ทำหลายๆ ขั้น คล้ายๆ กับข้อสอบสมาคมฯ ของ ม.ต้น หรือข้อสอบเพชรยอดมงกุฎ
  5. เนื้อหาคณิตไม่เคยเกิน ม.ต้น (ถ้ามีความรู้ที่ต้องใช้เพิ่มเติมจะให้บทความมาเพิ่ม) ถ้าทำไม่ได้ ห้ามโทษเด็ดขาดว่าเนื้อหาเกิน
  6. เนื้อหาวิทยาศาสตร์ของข้อสอบรอบแรก มีในหนังสือเรียนพื้นฐาน (จริงๆ นะ) บางครั้งก็ถามความจำเลย เช่น ชนิดของหิน จนไปถึงคิดวิเคราะห์ เช่น ให้ diagram ของเครื่องปั้มหัวใจมา แล้วก็ให้บทความมาอีกนิดนึง จากนั้นก็ถามเลยว่าขั้วบวกต่อไหน ขั้วลบต่อไหน
  7. ข้อสอบรอบสองเนื้อหาจะเริ่มเข้าม.ปลาย (จากประสบการณ์ของพี่ คราวนี้น้องควรจะรู้เนื้อหาม.4 ในหลายๆ ส่วนแล้วแหละ)
  8. ที่นี่พอเข้ามาในโรงเรียนแล้ว เนื้อหาบางส่วนของ ม.4 อาจจะไม่ได้สอนเลย หรือพูดนิดหน่อย เช่น วิชาคณิตอาจจะไม่พูดถึงเรื่องเซตอีกแล้ว ให้ไปอ่านเองแล้วลองสอบดู (ไม่เก็บคะแนน) สอบได้ก็สอบ สอบไม่ได้ค่อยมาเรียนเพิ่มตอนเย็น หรืออย่างชีวะที่อาจารย์จะถามนักเรียนคาบแรกเลยว่าเคยเรียนอะไรมาบ้างแล้วมาคุยกัน
  9. สอบรอบสองอาจจะไม่น่ากลัวเท่าสอบรอบแรก เพราะถ้าน้องไม่อยู่ในอันดับ 100 โหล่ ตัวสำรองอาจจะเรียกมาถึง สิ่งที่น้องทำคือแค่รอ รอ รอ และภาวนาให้พวกตัวจริงที่ไม่อยากได้สละสิทธิ์เยอะๆ
  10. น้องบางคนอาจจะมีทัศนคติที่ว่า “เรียนที่ไหนก็เหมือนๆ กัน” ตัดความคิดนี้ออกจากหัวซะ
  11. สืบเนื่องมาจากข้อที่แล้ว คือ โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่มีทุนเยอะมากๆ หรือมีการเอาทุนมายื่นต่อหน้าให้เลือกเยอะมากๆ พูดง่ายๆ คือมาที่โรงเรียนนี้เหมือนเอาขาข้างหนึ่งเข้าไปติดมหาลัยเรียบร้อยแล้ว
  12. มีผู้ทรงคุณวุฒิมาบรรยายพิเศษเยอะมากๆ น้องจะได้เปิดโลก ทุกๆ อย่างที่น้องไม่เคยรู้มาก่อนน้องจะได้มารู้ที่นี่ ประสบการณ์ที่โรงเรียนนี้คือน้องจะหาจากที่ไหนไม่ได้แล้วจริงๆ (เคยมี ผอ. NASA มาบรรยาย เชิญคุณเฌอปราง bnk มาบรรยาย ยันนิ้วกลมก็เคยเชิญมาบรรยาย)
  13. ความคิดของน้องอาจจะเปลี่ยนไปว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่อาชีพแพทย์กับวิศวฯ
  14. ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่ การเข้ามาเรียนที่ mwit ก็คล้ายๆ กับการซ้อมอยู่ในภาวะงานหนักรุนแรง เพราะบางครั้งงานแต่ละงานอาจจะมาซ้อนๆ เหลื่อมๆ กันจนแทบจะไม่ได้นอน หรือถ้าได้นอนก็นอนอย่างไม่ค่อยจะอยากนอนเท่าไหร่ เพราะต้องมาคิดตลอดว่า พรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้าง สัปดาห์หน้ามีงานอะไรต้องทำ จะวางแผน balance งานโรงเรียนกิจกรรมต่างๆ กับเรื่องเรียนเรื่องสอบยังไง ฯลฯ เยอะจนอาจจะปวดเศียรเวียนศีรษะ แต่ก็ไม่มีใครเครียดมากนักหรอก เพื่อนก็มีตั้งเยอะแยะ เจอสภาพเดียวกับเราเหมือนกัน 555 เพราะฉะนั้นใครมุ่งมั่นตั้งใจจะมาก็อย่ากลัวงานหนักเลยครับ มันไม่ใช่ประเด็นจริงๆ
  15. โดยเฉพาะช่วง ม.6 เทอม 2 น้องจะเริ่มว่างอย่างจริงจัง ว่างมาก ว่างงงง ว่างสุดๆ เอาเวลาไปเตรียมเอนท์ก็ได้ หรือถ้าติดมหาลัยตั้งแต่รอบพอร์ต จะตีป้อมถึงตีสามก็ไม่มีใครว่าอะไร (ยกเว้นอ.หออาจจะว่านิดนึง555)
  16. มีหลายคนชอบเปรียบเทียบระหว่าง mwit กับโรงเรียนอื่นๆ อาทิ kvis เอย เตรียมอุดมเอย ฯลฯ เอาเป็นว่าพี่ก็ไม่เคยไปเรียนตรงนั้นเหมือนกัน พี่พูดได้แค่ว่าทุกๆ ที่มีข้อดีข้อเสียแตกต่างออกไป เช่น kvis ติดป่าไกลเมือง แต่บางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ ส่วน mwit ก็อยู่ใกล้ กทม. หน่อย จะไปเรียนพิเศษช่วงเสาร์อาทิตย์ก็สะดวกมานิดนึง ส่วนเตรียมอุดมนี่ก็กลางมหาเมือง อยู่สะดวก แต่คนอยากติดป่าก็อาจจะไม่ชอบ ไรเงี่ย อันนี้ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน ใช้ปัญญาและสติตัดสินใจเอาเองละกันนะจ๊ะ
  17. น้องๆ หลายคนอาจจะบอกว่ากลัวมาเรียนที่ mwit แล้วเนื้อหายาก พี่อยากจะบอกว่าตอนเรียนมหาลัยก็เจอประมาณนี้แหละ อันนี้เหมือนแค่เลื่อนเวลามาเร็วขึ้นประมาณ 3 ปี
  18. หลายๆ คนอาจจะได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาจากรุ่นพี่หลายคนที่อยู่ mwit ว่าอาจารย์สอนไม่รู้เรื่องบ้าง หรือสอนไม่ตรงกับที่ต้องไป ent ทำให้ต้องไปเรียนพิเศษเพิ่ม พี่ขอกราบเรียนน้องๆ ว่า เรียนพิเศษเป็น optional not necessary อย่างพี่เองก็ไม่เคยเรียนพิเศษเลย (และก็มีพี่อีกหลายๆ คนที่ไม่เคยพึ่งการเรียนพิเศษ) แต่ก็ยังเอาตัวรอดทั้งตอนเรียนในรร. และตอน ent ได้ และอีกอย่างที่สำคัญคืออาจารย์ที่สอนที่รร. อาจจะไม่ได้สอนแบบเน้นไป ent อย่างเดียว แต่สอนให้รู้ลึกรู้จริง รู้ตั้งแต่พื้นฐานแล้วค่อยๆ พิสูจน์ขึ้นมาเรื่อยๆ (เพราะสอนเป็นเนื้อหา สอวน. ทุกวิชา) ซึ่งเรียนครั้งแรกยังไงก็ไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องไปอ่านรอบสองทวนด้วยตัวเอง ส่วนตอน ent พี่รับรองแบบมั่นใจแน่ๆ ว่าเนื้อหาที่สอนในรร. ครอบคลุมทั้งหมด
  19. ผู้ปกครองที่กำลังอ่านข้อนี้อยู่ และมีความหวังภายในจิตใต้สำนึกว่าให้ลูกเข้า mwit มาเพื่อให้มีโอกาสติดหมอสูงขึ้น ท่านคิดไม่ผิดครับ เพราะนักเรียน 2 ใน 3 เข้าแพทย์ (และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย)
  20. แต่การเข้า mwit จะทำให้น้องตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าตกลงเราอยากเป็นอะไร และเชื่อว่าการตัดสินใจระหว่างบุตรหลานและผู้ปกครองจะดีขึ้น (มากๆ) ในระหว่างสามปีที่ได้เข้ามาอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้ครับ
  21. น้องๆ หลายคนอาจจะนึกออกแค่เรื่องการเรียนใน mwit แต่พอน้องเข้ามาน้องจะรู้ว่าเรื่องเรียนนั้นช่างเล็กน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับกิจกรรมและ project มากมายมหาศาล
  22. ซึ่งนั่นจะทำให้น้องแบ่งเวลาเป็นมากขึ้น
  23. นอกจากนั้นการที่น้องมาอยู่ที่หอโดยปราศจากความช่วยเหลือทางบ้านอย่างใกล้ชิดจะทำให้น้องมีความเป็นผู้ใหญ่ (aka มีความรับผิดชอบ) มากขึ้น
  24. หลายๆ คนที่เข้ามามีความกล้าแสดงออกมากขึ้น (อาจจะมีความบ้าคลั่งขึ้น 555)
  25. สังคม อบอุ่น โคตรๆ (ถ้าน้องไม่ไปต่อยใครอ่ะนะ)
  26. น้องจะมีเพื่อนที่โคตรจะสนิทคือรูมเมท และน้องก็จะมีหลายๆ group ไปๆ มาๆ น้องก็จะเริ่มรู้จักคนทั้งรุ่น คนรุ่นพี่ รุ่นน้อง รุ่นปู่ ทวด เทียด ฯลฯ และน้องก็จะเดินไปไหนก็มีแต่คนที่น้องรู้จัก 555
  27. สายรหัสที่นี่มีความ strong สูงมาก (พี่สืบรุ่นได้ประมาณ 15 คนในสายอ่ะ เจ๋งป่ะ)
  28. ที่นี่มีกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เยอะ มาก มาก มาก (แต่คือทำไปเรื่อยๆ 3 ปีก็หมด) นับตั้งแต่ต้องอ่านหนังสืออ่านเล่นในครบ 50 เล่ม ออกกำลังกายให้ครบ 240 ครั้ง และก็ยังมีฟังบรรยายไม่น้อยกว่า 16 ครั้ง ไปศึกษาดูงาน 12 หน่วย ฯลฯ เขียนไม่หมดจดไม่ไหว ในนี้พี่อาจจะเขียนผิดด้วยซ้ำมั้ง 555 เอาเป็นว่าที่เขียนไม่ได้จะบอกว่าหนัก แค่จะบอกว่าที่มีอะไรให้ทำเก็บประสบการณ์เยอะมากๆ น้องจะได้ไปที่ๆ ไม่เคยไป เจอคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ (เอ๊ะ ไม่สิ เจอคนที่สำคัญๆ 555) เจอหลายๆ สิ่งอย่างที่จะเป็น good memory อ่ะจ๊ะ
  29. อยู่รร.นี้แล้วเกรดไม่ตกถือเป็นบูญญาธิการอย่างสูง สูงมาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ (การเก็บเกรดไว้ก่อนจะดีตอนที่คิดจะขอทุนไปเรียนต่างประเทศ)
  30. สืบเนื่องจากข้อที่แล้วคือ ที่นี่มีการแนะแนวเกี่ยวกับทุนไปเรียนต่อ ตปท. เยอะมาก ซึ่งทุนที่พี่ๆ มักจะเอาได้แก่ a. ทุนรัฐบาลไทย (มีตั้งแต่ทุนคิง ใช้ 1 เท่า/ ทุนโอลิมปิก ใช้ 1 เท่า/ ทุนก.พ. (aka ทุนกระทรวงวิทย์) ใช้ 2 เท่า/ ทุนของหน่วยงานอื่นๆ อีกมากมายทั้งที่มี/ไม่มีข้อผูกมัด) b. ทุนรัฐบาลต่างประเทศ (เช่น ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นหรือทุนมง) c. ทุนมหาวิทยาลัยของต่างประเทศโดยตรง (มีจากไต้หวัน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ ถ้าจำไม่ผิด)
  31. ที่เขียนเยอะขนาดนี้เพื่อให้น้องเห็นว่า มาที่นี่แล้วโอกาสมันเยอะมากๆๆๆๆ จริงๆ
  32. ถ้าน้องรู้สึกว่าน้องไม่มั่นใจในเส้นทางมหาลัยที่ตัวเองเลือก ที่นี่มีรุ่นพี่เยอะมากๆ ที่มีหลายสายสาขาเยอะมากๆๆๆๆๆ ที่จะกลับมาแนะแนวการศึกษาต่อบ่อยๆ (มีตั้งแต่คนไปเรียนแพทย์ที่รัสเซีย ยันคนจบ MIT ยันคนเรียน bioinfo พูดเป็นชาติก็ยัง list ไม่หมด) และด้วยความที่ที่นี่มีรุ่นพี่ไปเบิกทางเยอะมากๆ แล้วนั่นเองที่จะทำให้น้องๆ จะมี connection ในทุกๆ เส้นทางที่เลือกนะเออ
  33. พูดถึงเรื่องกิจกรรม108 ที่นี่มีกิจกรรมมากมาย เช่น ดนตรีในสวน ที่อาจจะจัดในสวน หรืออาจจะไม่ได้จัดในสวนก็ได้
  34. จะมีงานปีใหม่และอื่นๆ (อื่นๆ เยอะจริงๆ) ที่จะมีซุ้มมาจัดของกินเยอะมาก
  35. ถ้าจะให้ list งานที่จัดในโรงเรียนแบบจัดหนักน่ะหรือ เหอะ เดือนนึงอาจมีมากกว่าสี่เลยนะ555
  36. ที่นี่งานกีฬาสีจะเตรียมอย่างบ้าคลั่งมากๆ (แต่จะจำกัดแค่ภายในเวลาหนึ่งเดือน) แสตนจะซ้อมถึงสองทุ่มครึ่ง หลีดอาจจะซ้อมยันสามทุ่มครึ่ง (หรือมากกว่านั้น ไม่พูดดีกว่า555) ม.5ก็จะเป็นแม่ยกเตรียมงาน ส่วนม.6 ก็จะมาดูบ้าง หลังจากนั้นก็จะเป็นความทรงจำดีๆ ไปอีกเนิ่นนาน
  37. เพิ่มเติมนิดนึง กีฬาสีที่นี่มีแค่สี่สี คือฟ้า เขียว ม่วง แดง ซึ่งทุกคนจะมีสีของตัวเอง สีเดียวตลอดสามปี และได้สีมาโดยการสุ่มล้วนๆ (เพราะฉะนั้นทุกคนจะมี loyalty ต่อสีตัวเองมว้ากๆ)
  38. จะว่าไปก็พูดถึงหอบ้างดีก่า ห้องนอนที่นี่ ชายนอน4 หญิงนอน6 เตียงสองชั้นทั้งหมด ไปตกลงกันเอาเอง
  39. หนึ่งคนจะมี 1 เตียง 1 โต๊ะ 1 ตู้ที่ยัด everything ได้อย่างเพียงพอ
  40. แต่บางคนก็เอาตู้มาเองอีก ของเยอะ555 บางคนนี่มีเอาเครื่องพิมพ์มา เอาพัดลมมา ยันพวกของช่างทั้งหลายก็ยังเอามา
  41. ที่นี่มีตู้เย็น1 กับไมโครเวฟ1 ให้ในแต่ละชั้นในหอ แบ่งกันใช้เอาเอง (ซึ่งดีมาก)
  42. ตัดไฟหลังเที่ยงคืน หลังจากนั้นอาจจะมีอ.หอมาตรวจว่านอนยัง (ตัดไฟนี่คือยกเว้นแอร์ที่ไม่ตัดเน้อ)
  43. ที่นี่แอร์จะเปิดตอน 20.30 ปิดตอน 5.00 (มั้ง) ใครตื่นมาตอนแอร์ปิดพอดีก็จะรู้สึกซวยเล็กน้อย 555 แต่อยู่ไปเดี๋ยวก็ชินเองแหละ
  44. ที่นี่สนับสนุนการเรียนรด. มาก เอาเป็นว่าสมัครๆ ไปเถอะไม่ต้องกลัวมาจะ test ร่างกายไม่ผ่าน จะได้ไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร ยังไงๆ ก็ติด (เอาเป็นว่าเรื่องนี้ขอไม่พูดดีกว่า เอิ่ก)
  45. มีการตรวจหอประมาณทุกสัปดาห์ หรือทุกวัน? (ไม่แน่ไม่นอน แต่เค้าบอกว่าทุกวันอังคารกับวันศุกร์นะ) อาจารย์หอพักจะ list เลยว่าห้องไม่เรียบร้อยตรงไหนอย่างไร ซึ่งก็จัดห้องบ้างเถ้ออออ
  46. ที่นี่จะเปิดเพลงปลุกตอน 7.00 โดยเพลงจะมาจากกรรมการหอพัก (นร.ม.5ที่เลือกกันมา) เพลงก็จะมีตั้งแต่ บูมบาย่า ยัน ลุควอทยูเมคมีดู
  47. หอปิด 7.30 หลังจากนั้นอ.หอก็จะมาเฝ้าละ ใครลงหอสายบางวันก็โดนวิดพื้นนะเออ
  48. คะแนนความประพฤติที่นี่จะมีชื่อโก้ๆ ว่าคะแนนทักษะชีวิต ตัดไปเรื่อยๆ พวกลงหอสาย ขึ้นลิฟต์ บลาๆ ไรเงี่ย ซึ่งจะรวม3ปีแล้วตัดออกมาตอนจบม.6
  49. ส่วนฝ่ายระเบียบไม่มีใน mwit มีแต่อาจารย์หอพักที่ดูทั้งหอพักและนักเรียน
  50. ที่นี่จะมีวันอังคารหนึ่งวันที่หอเปิดช้า (หกโมงเย็น) ให้นักเรียนไปออกกำลังกาย เรียกว่าวัน sport day ช่วงเย็นวันนั้นก็จะมีคนมาวิ่งเยอะกว่าปกติ
  51. พูดถึงออกกำลังกายแล้วก็ต้องพูดถึงศูนย์กีฬา ที่นี่ศูนย์กีฬาก็มีของทั่วๆ ไปอย่างเช่น แบต ปิงปอง บาส สระว่ายน้ำ ห้องสควอต (มันเป็นกีฬาอย่างหนึ่งลองไปเสิร์ชดูนะ) และที่ชอบมากที่สุดคือห้องฟิตเนสที่พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์สำหรับคนอยากมีกล้าม (ดีจริงๆ นะ)
  52. ที่นี่จะมีฟุตบอลของกีฬาสีที่เล่นจริงจังมากๆ กับแข่งบาสสายห้อง (ก็คือ 10 ห้องมาแข่งกัน ไม่แยกม.4-6 ละก็ต้องส่งทั้งชาย-หญิง)
  53. Mwit มีค่ายสอวน. เป็นของตัวเอง โดยมี kvis ร่วมด้วย (ก็คือเด็ก kvis มารวมเรียนที่รร.mwitอีกที)
  54. วิชาหนึ่งรับประมาณ 30 คน (แต่ถ้าเป็น สอวน. วิชาเล็กๆ อาทิเช่นดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ โลก ฯลฯ อาจจะน้อยกว่านั้น)
  55. จะเห็นได้ว่าถ้าเข้ามา mwit ได้แล้วเนี่ยการจะเข้าสอวน. วิชาใดวิชาหนึ่งมันจะดูมีโอกาสเยอะมาก แถมการที่ได้เข้าค่าย สอวน. พวกนี้จะทำให้เรามีสิทธิพิเศษในการเข้ามหาวิทยาลัยที่ต่างๆ ด้วยนะ
  56. แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามก่อนไปสอบ สอวน. ก็ต้องเตรียมตัว ซึ่งที่นี่จะมีการสอนพี่ช่วยน้องอยู่แล้ว (คือพี่ที่เรียน สอวน. ปีก่อนมาสอนรุ่นน้องต่อ) ก็เอาความรู้ตอนนั้นไปสอบนั่นแหละ
  57. ค่าย สอวน. จะมีค่าย 1 (เดือนตุลาคม) และ 2 (เดือนมีนาคม) และก็คัดผู้แทนศูนย์ไปแข่งระดับชาติวิชาละ 6 คน
  58. ทุกปีจะมีคนได้ไปเป็นผู้แทนประเทศ
  59. สอวน.ที่นี่บางวิชาเรียนแล้วไม่ต้องไปเรียนวิชาพื้นฐานกับเพื่อนอีก งงปะ เช่น สอวน. ฟิสิกส์ ถ้าเรียนในค่ายไปแล้ว พอมาตั้งแต่ม.4 เทอม2 จะไม่ต้องไปเรียนรวมกับเพื่อนอีกเลย จะมีอีกสองวิชาที่เป็นแบบนี้คือ สอวน. เคมีกับ สอวน. ชีวะ
  60. ส่วน สอวน.คอมกับคณิตจะยังต้องมาเรียนกับเพื่อนๆ อยู่ (เนื้อหาในค่ายกับเนื้อหาพื้นฐานคนละส่วนกัน) แต่ว่าจะได้หน่วยกิตที่เป็นวิชาเลือกว่าเพิ่มแทน
  61. เพราะฉะนั้นพวกที่เรียน สอวน.ฟิสิกส์ ชีวะ เคมี ก็อาจจะต้องมาเร่งเก็บหน่วยกิตวิชาเลือกทีหลัง ไรเงี่ย เช่นอย่างพี่เอง พี่เก็บพวกวิชาเลือกภาษาญี่ปุ่น นี่เรียนจนเซียนเลยเนี่ย555
  62. พูดถึงวิชาเลือก ที่นี่จะมีวิชาเลือกที่เป็นคณิตหรือวิทย์ (แพลงตอน บลาๆ) จนถึงศิลปะที่คนแย่งกันลง ละก็มีวิชาเลือกที่เป็นภาษาที่สาม
  63. สำหรับภาษาที่สามนั้น โรงเรียนบังคับในเรียนทุกคนอย่างน้อย 1 เทอม หลังจากนั้นจะเรียนต่อหรือไม่ก็ได้
  64. ภาษาที่สามที่มีให้เลือกเรียนได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และเยอรมัน
  65. เลือกเรียนภาษานั้นๆ แล้วจะมีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศนั้นๆ มากขึ้น เช่น เรียนญี่ปุ่นก็จะมีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนญี่ปุ่นมากขึ้น (ยกเว้นฝรั่งเศสนะ โรงเรียนยังไม่มีโครงการไปฝรั่งเศสสักที555)
  66. พูดถึงแลกเปลี่ยน ที่นี่มีแลกเปลี่ยนทั้งหมดหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย เกาหลี นอกจากนั้นยังมีการส่งโครงงานไปนำเสนอที่ต่างประเทศ เพิ่มเติมคือประเทศรัสเซีย
  67. เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้ไปต่างประเทศมีสามโอกาสคือ 1. แลกเปลี่ยนกับโรงเรียน 2. นำเสนอโครงงาน 3. ไปแข่งขันอะไรสักอย่าง (อาจไปกับโรงเรียนหรือไปในฐานะผู้แทนของประเทศไทยก็ได้) 4. เป็นโครงการที่ไม่ใช่ของโรงเรียน (เช่น sakura)
  68. ที่พูดมาเนี่ยเพราะอยากให้รู้ว่า โอกาสที่เราจะได้ไปต่างประเทศเนี่ย มันเยอะมากๆๆๆ (พวกค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ host จะจ่ายให้เราอยู่แล้ว ยกเว้นแต่ค่าเครื่องบินกับค่าของฝากต้องจ่ายเองนะ แต่แค่นี่ก็เบาแล้วปะ555)
  69. พี่เริ่มขี้เกียจเขียนละเหนื่อย เอาเป็นว่า ตอนนี้สิ่งที่น้องที่กำลังอ่านอย่างเมามันอยู่ต้องทำก็คือ ลองคิดให้ได้ก่อนว่าตัวเองอยากอยู่ ม.ปลายที่ไหน อยากใช้ชีวิตเรียนพิเศษหรืออ่านเองได้ หรืออยู่กับพ่อแม่ หรืออยู่หอพัก หรืออยากไปป่าเขา หรืออยู่ที่เดิมนั่นแหละดีแล้ว หรือเลิกเรียนไปเลยไปขายน้ำเต้าหู้ดีกว่า เอ้ย ไม่ใช่ ที่จริงคิดเผื่อไปมหาลัยเลยก็ได้ อยากเรียนหมอ อยากเรียนวิศวะ อยากเป็นนักวิจัย อยากเรียนนิเทศก็ได้นะเออ ใครที่พอคิดไปคิดมาเกี่ยวกับเป้าหมายชีวิตแล้วก็ตัดสินใจว่าเออ ที่ mwit มันใช่อ่ะ ถามรุ่นพี่ที่จบมาแล้วก็รู้สึกอยากเข้า ถามพ่อแม่ก็สนับสนุน งั้นก็รีบเตรียมตัวอ่านหนังสือ ขอคำแนะนำหลายๆ คนในการเตรียมตัว
  70. ถ้าน้องถามพี่ว่าเตรียมสอบเข้า ม.ปลาย ไม่ว่าจะเป็น mwit/kvis/ตอ./whatsoever you want แล้วควรจะเรียนพิเศษหรือไม่ดี เอาเป็นว่าพี่ก็เขียนเกี่ยวกับแนะนำ resource ไม่เก่งซะด้วยสิ แง เรื่องการเตรียมตัวนี่พี่คิดว่าถามคนอื่นจะดีกว่า งื้อออ ไม่ได้ พี่จะตอบแบบนี้ไม่ได้นะ เอาเป็นว่า ตัวพี่เองไม่เรียนพิเศษ แต่อย่างคณิตพี่ก็อ่านพวก สมาคมฯ กับเพชรยอดมงกุฎ ละก็โจทย์เทือกๆ นั้นที่หาได้ทั่วไปแถวศูนย์หนังสือจุฬา ก็จบไปวิชาหนึ่ง ส่วนวิทย์ พี่ก็อ่านเลยไปพวกแบบเรียน ม.ปลาย ทั้งชีวะ เคมี ส่วนฟิสิกส์ก็เก็บพวกกลศาสตร์ให้แม่น กับไฟฟ้าม.ต้น (ส่วนใหญ่ฟิสิกส์จะอยู่แค่เนื้อหา ม.ต้น) ซึ่งพวกโจทย์อะไรเงี่ย น้องหาได้ทั่วไปที่ศูนย์หนังสือจุฬาอยู่แล้ว พี่แนะนำแค่นี้แหละนะ เพราะพี่เชื่อว่าคนอื่นเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้กันไปจนเมื่อยมือละแหละ (แต่ถ้าเรียกร้องจริงๆ หลังไมค์ก็ได้นะเออ) เอาเป็นว่าถ้าถามพี่ พี่ก็จะยืนยัน นั่งยัน และก็นอนยันอีกทีว่าไม่ต้องเรียนพิเศษ จบ
  71. และไม่ว่าน้องจะเรียนหรือไม่เรียนพิเศษก็ตาม สิ่งที่พี่แนะนำให้น้องมี (ไม่ว่าหลังจากนี้น้องจะสมหวังหรือผิดหวังก็ตามอ่ะนะครับ) คือความมีระเบียบวินัย กับ ความอดทน สองสิ่งนี้น้องต้องมียันเข้ามหาลัย ยันทำงาน ยันใกล้ตาย ไม่ว่าน้องจะเป็นอย่างไรก็ตาม ถ้าน้องมั่นใจว่าต้องเข้ามาเรียนที่ที่อยากเรียนให้ได้ น้องต้องขยันอดทนและวินัยต้องมา ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง นาจา
  72. สุดท้ายนี้ พี่ก็ขออวยพรให้น้องที่มีจิตใจแน่วแน่สมหวังกับการสอบเข้า ม.ปลาย (ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน) นะครับ ส่วนพี่เองก็ขอไปพักนิ้วก่อน นี่พิมพ์ตั้งเกือบสองชั่วโมง บร้าไป่แวร้วววว

โพสต์ต้นทาง

Nutchanon J's Stories

รวมบทความของนิสิตคณะวิศวะฯ คนหนึ่งในจุฬา ที่เรียนภาคไฟฟ้า

Powered by Bootstrap 4 Github Pages