Table of Content

หากเราเคารพซึ่งกันและกัน

Table of Content

...

ในใจหนึ่ง เราก็ดีใจมากๆ ที่ได้เกิดมาในยุคที่ทุกคนมีเสรีภาพทางความคิด มีสิทธิทางสังคมที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นต่างๆ ได้อย่างเปิดอกเปิดใจ ไม่ต้องอัดอั้น น้ำท่วมปากเหมือนเมื่อแต่ก่อน แต่อีกในใจหนึ่ง เราก็รู้สึกอึดอัดมากๆ ที่ในยุคปัจจุบัน เราสามารถฆ่าคนได้โดยการแสดงความคิดเห็นที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง (Hate Speech) เรามีสังคมออนไลน์ที่รวดเร็วเกินกว่าจะยั้งความคิดของเรา เรามีปุ่ม share, retweet, ฯลฯ อีกมากมายที่เพียงครั้งเดียว เพื่อนทุกคนของเราก็จะเห็นสิ่งที่เราต้องการเผยแพร่ออกไป

จริงอยู่ ที่การแสดงความคิดเห็นในทุกๆ มิติ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงในหลายๆ ด้าน แต่บางครั้งการแสดงความคิดเห็นโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองข้อมูลทุกๆ ด้านก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นนั้นๆ ออกไป ก็อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แย่ลง

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราสูญเสียบุคคลสำคัญที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ (ซึ่งนั่นแหละ เขาก็อาจจะมีข้อดีแล้วก็ข้อเสีย) เราได้นายกคนใหม่ (คนเดิม) เรามีพระราชพิธีที่สำคัญ (บางคนก็อาจจะบอกว่าไม่สำคัญ) เรามีการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในช่วงเวลาสั้นๆ เกิดการเปลี่ยนฝ่าย เปลี่ยนขั้ว ขัดอุดมการณ์ ขัดหลักการ ขัดนโยบาย ขัดนู่น ขัดนี่ ขัดนั่น ขัดไปหมด เอาใจฝ่ายนั้นฝ่ายนู้นก็ด่า เอาใจฝ่ายนู้นฝ่ายนั้นก็ด่า dilemma ไม่จบสิ้น แถมทั้งสองฝ่าย (หรืออาจจะมากกว่า) ก็ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกันเลย ฝั่งหนึ่งก็อยู่ในโลกสีน้ำเงินเข้ม อีกฝ่ายก็อยู่ในโลกนกสีฟ้า ต่างด่าทอกันไปมา บอกว่าไอนั่นก็คนหัวไดโนเสาร์ ไอนี่ก็บอกคนปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม

จะมีสักครั้งไหมหนอที่เราจะพูดคุยกันอย่างเปิดอกเปิดใจ

และก็เข้าใจซึ่งกันและกัน

ในอดีตที่ผ่านมา เราผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมากๆ มุมมองของการแก้ปัญหาของคนกลุ่มต่างๆ ที่ผ่านประสบการณ์มากน้อยนานา ย่อมต่างกัน ในขณะเดียวกันที่สาเหตุแห่งปัญหานั้นๆ ก็มาจากมุมมองที่แตกต่างกัน

เราผ่านยุคสมัยต่างๆ มากมาย ทั้งการบุกรุกจากคอมมิวนิสต์ ภัยยาเสพติด ความเหลื่อมล้ำทางสังคม สถาบันกษัตริย์ไม่มั่นคง การเรียกร้องประชาธิปไตย ความวุ่นวายในรัฐสภาที่ไม่ลงตัวในหลายสมัย ทหารที่เข้ามายึดอำนาจโดยมิชอบ (หรือชอบก็ไม่รู้) การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด วิกฤติเศรษฐกิจอันบอบช้ำจากฟองสบู่ การขยายเมือง การเข้ามาของเทคโนโลยี การประท้วงที่รุนแรงเพราะความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกิดขึ้นมาเยอะมากภายในช่วง 40 - 50 ปีที่ผ่านมา มาก — มากเกินกว่าที่เรา — อายุเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของช่วงเวลา จะเข้าใจอะไรทั้งหมดได้

เราไม่ผิดที่จะแสดงความคิดเห็น เราผิดก็ต่อเมื่อเราทำการ personal attack (การกล่าวร้ายเชิงบุคคล) เราจะดีกว่านี้ถ้าเราไม่ใส่อารมณ์ เราจะดีกว่านี้ถ้าเราวิจารณ์โดยข้อมูลที่รอบด้าน ด้วยความรอบรู้ เราต้อง attack ตัว ideas ไม่ใช่ตัวบุคคล ไม่ใช่ตัวพรรคพวก ไม่ใช่ตัวอุดมการณ์ที่แข็งอย่างศิลา แต่เป็นแนวความคิดที่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาว่ามีข้อดี ข้อเสียอย่างไร แยกแยะองค์ประกอบ กล่าวด้วยความสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ (แต่ก็จะมีคนมาเถียงอีกว่าความสุภาพไม่จำเป็น ฉันจะวิจารณ์ยังไงก็ได้ นี่มัน free speech ของฉัน)

แต่ก็นั่นแหละ อยากได้สังคมแบบไหนก็พูดแบบนั้นออกมา อยากได้สังคมที่ดี เราก็พูดด้วยสติ พูดด้วยปัญญา ไตร่ตรองถี่ถ้วน เลือกที่จะพูด เรื่องไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ต้องพูด รับฟังเฉยๆ แต่ถ้าอยากได้สังคมที่ค่อนแคะไปมา ใช้อารมณ์ประกอบความคิดเห็น พูดโดยไม่รู้รอบ เราก็ทำอย่างนั้นแหละครับ

บางครั้ง บางคนที่ได้เห็นเพียงแค่เสี้ยวเดียวก่อนที่เขาจะตาย เราได้เห็นแต่สิ่งที่เราไม่ชอบของเขา เราเผลอวิจารณ์เขาในแง่ลบ ถ้ายังไม่เปล่งเสียงออกมาก็อาจจะอยู่แค่ในใจ แต่ถ้าเผลอพูดออกมา สิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นคนดีจริงๆ รึเปล่า คือการที่คนอื่นๆ จะมาปกป้องเขาเอง

บางครั้งเราก็ต้องลองเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างแหละ มีหลายคนที่ผมรู้จัก ที่กำลังจะไปเป็นแพทย์ หรือเป็นวิศวะ หรือวิทยา หรืออื่นๆ ซึ่งก็เป็นอาชีพที่หลักหนาสาหัสด้วยกันทั้งนั้น ลองคิดดูว่าถ้าเราทำงานด้วยแรงสุดสามารถแล้ว เรารู้แหละว่ามัน imperfect แต่ลองคิดดูว่าถ้าคนไข้ หรือลูกค้า หรือประชาชนที่เราทำงานให้ เขาด่าทอเราเสียๆ หายๆ ด้วยอารมณ์ (เขาอาจจะพูดถูกแหละ) เรายังเสียใจ เสียความรู้สึกเลย บางครั้งอาจจะทำให้ร้องไห้ได้เลยด้วยซ้ำ จริงไหมครับ

เพราะฉะนั้น เปลี่ยนจากสาดน้ำเสีย มาเป็นสาดน้ำเย็นสะอาดดีกว่าครับ

เราอาจจะได้โลกที่ดีขึ้นมา ไม่มากก็ไม่น้อย

Nutchanon J's Stories

รวมบทความของนิสิตคณะวิศวะฯ คนหนึ่งในจุฬา ที่เรียนภาคไฟฟ้า

Powered by Bootstrap 4 Github Pages