Table of Content

Quality-adjusted life year กับจริยธรรมทางการแพทย์

Table of Content

...

ถ้าเรากำลังป่วยอย่างหนัก คำถามที่สำคัญคือเราควรมีชีวิตต่ออยู่อย่างทรมาน หรือเราควรจบชีวิตของเราลงแค่นี้ แล้วไม่ต้องทรมานอะไรอีก

นักเศรษฐศาสตร์ Herbert E. Klarman และพวก จึงกำเนิดไอเดียว่า ถ้าเราพล็อตกราฟระหว่างความสมบูรณ์ของชีวิต (100% ถ้าสุขภาพแข็งแรงดี และ 0% ถ้าป่วยเจียนตาย) และเวลาจนถึงเสียชีวิต หลังจากนั้นก็ integrate หาพื้นที่ เราก็จะได้คุณค่าของชีวิตโดยประมาณที่เราสามารถมีได้จนตาย หากเราสามารถประมาณแบบนี้ได้ เราก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่าเราควรจะตายหรือเราควรจะอยู่

นี่เองที่เป็นหลักการของ Quality-adjusted life year ซึ่งเป็นหนึ่งใน cost-utility analysis

ข้อเสียของการคิดเชิงเศรษฐศาสตร์แบบนี้คือ

  1. แสดงว่าเราควรจะปล่อยคนที่ใกล้ตาย เพราะไม่คุ้มกับการรักษาหรือเปล่า
  2. แสดงว่าเราไม่ควรวิจัยการรักษาโรคที่มีโอกาสตายสูง หรือเป็นโรคหายาก เพราะความพยายามในการวิจัยอาจไม่คุ้มกับการรักษา หรือเปล่า
  3. เราจะสามารถวัดความ “สุขภาพดี” ได้แม่นยำพอหรือเปล่า ถ้าถามผู้ป่วยโดยตรง ผู้ป่วยอาจตอบน้อยกว่าที่เป็นจริง (เพราะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ) หรืออาจตอบมากกว่าความเป็นจริง (เพราะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ บางทีอาจยังอยากร่วมงานแต่งงานของลูกตัวเองอยู่ ฯลฯ)
  4. เรื่องของ “สุขภาพดี” อาจไม่ได้มีปัจจัยที่ร่างกายอย่างเดียวเสมอไป อาจมีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับความ “สุขภาพดีนั้น” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทองที่มี (ถ้ายังมีเงินอยู่ก็อาจยอมรักษาต่อ แต่ถ้าใกล้ถังแตกก็คงยอมตาย) เรื่องครอบครัว (ถ้าครอบครัวยังอยู่พร้อมหน้าก็จะยังอยากอยู่ต่อ) ฯลฯ
  5. การรักษาโรคทุกแบบมีความเสี่ยง

ความพยายามในการทำให้โมเดล Quality-adjusted life year มีความแม่นยำและใช้ได้จริงนั้นมีอยู่หลายครั้ง ในปี 2010 คณะกรรมาธิการยุโรปได้ออกงบให้มีการสำรวจและวิจัยเรื่องนี้ ทางทีมผู้วิจัยได้สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมงานวิจัยถึง 3395 คน แต่สุดท้ายก็ถูกตีกลับจาก OECD ว่ากลุ่มตัวอย่างยังกระจุกตัวที่สหราชอาณาจักร จึงยังเชื่อถือโมเดลนี้ไม่ได้

ในทางปฏิบัติ ผู้เขียนเชื่อว่าคงไม่มีแพทย์คนไหนมานั่งคิดเรื่อง Quality-adjusted life year ในการรักษาผู้ป่วย เพราะคงไม่มีใครอยากให้ผู้ป่วยตายในเงื้อมือของตัวเอง เพียงเพราะการรักษานั้นไม่คุ้มค่า

ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ของอเมริกาที่ผ่านมานั้น ได้มีการสำรวจและได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าแพทย์เกือบทั้งหมดแทบจะไม่ได้นำ Quality-adjusted life year ในการพิจารณารับรักษาผู้ป่วยโควิดเลย แม้ว่าสถานการณ์ในประเทศจะรุนแรงมากก็ตาม

การแก้ปัญหาเรื่องนี้ที่ดีอย่างหนึ่ง คือการสื่อสารระหว่างครอบครัวให้ดีก่อนที่โรคภัยร้ายแรงจะมาถึง อาจมีการขอญาติ ๆ ไว้ก่อนว่าอย่าใส่เครื่องช่วยชีวิต หรือการเจาะคอเพื่อยื้อชีวิตเป็นต้น

หากแพทย์เห็นว่าผู้ป่วยมีความยากที่จะยื้อชีวิตต่อไปได้แล้ว ทางที่เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งคือการรักษาแบบประคับประคอง (palliative care)

ทั้งนี้ก็ยังมีปัญหาอยู่ดี หากญาติของคนนั้นเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ (เช่น อาจไม่ทำตามสัญญาเพราะเห็นแก่ตัวเอง หรือเห็นแก่มรดกที่ตนอาจจะได้รับ ฯลฯ)

ตอนนี้ (ปี 2020) ผู้เขียนเห็นงานวิจัยหนึ่งชี้นที่พยายามใช้ machine learning ในการประมาณ Quality-adjusted life year: DOI:10.1016/j.jcrc.2019.10.015

จริยธรรมของการรักษาผู้ป่วยนั้น นับว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจนำคณิตศาสตร์หรือเศรษฐศาสตร์มาจับแล้วประยุกต์ใช้อย่างตรงไปตรงมาได้ เพราะผู้ป่วยเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจ จริยธรรมของเรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องทางปรัชญา ที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย รวมถึงตัวของผู้ป่วยเองที่ต้องหันมาคุยกันอย่างจริงจังในเรื่องการตัดสินใจนี้

Nutchanon J's Stories

รวมบทความของนิสิตคณะวิศวะฯ คนหนึ่งในจุฬา ที่เรียนภาคไฟฟ้า

Powered by Bootstrap 4 Github Pages