Table of Content

รีวิว เปรโต๊ะ สามหมื่น ชายแดนพม่า สามวัน สองคืน เผื่อมีคนอยากไป

Table of Content

...

ยอมรับว่าเป็นทริปที่นัดล่วงหน้าประมาณสามชาติ คือตั้งแต่ปลายเดือนเมษาเพื่อนก็ชวนมาไปเดินป่าไหม ชื่อเปรโต๊ะอะไรแถวนั้น ไอ้เราก็ไม่ลังเลอะไรเลย ตัดสินใจภายในห้าวินาที ไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย เดินยากไหม เพื่อนชวนปุ๊บก็จองเลย

หลังจากฝึกงานและสอบโทเฟลอย่างหนักหน่วง ก็เตรียมของไปเดินป่าแบบโคตรพ่อโคตรแม่ backpack ครั้งแรกในชีวิต

สัญญากับตัวเองตั้งแต่ก่อนฝึกงานว่าจะฟิตร่างกายก่อนไป จะวิ่งตอนเช้าให้ได้สัปดาห์ละสามครั้งจะได้ปีนขึ้นไปได้ สุดท้าย – ไม่ได้ทำ

มานั่งดูข้อมูลจริง ๆ ว่าไปที่ไหนแค่สัปดาห์เดียวก่อนไป ตอนดูรีวิวก็แอบคิดในใจว่า

“อีชิบหาย จ่ายค่ามัดจำไปแล้ว 555”

ตอนเตรียมของ งงว่ากระดูกสันหลังตัวเองที่อ่อนแอเหลือเกินจะแบกของเป็นสิบกิโล (ทั้งกิโลกรัม และกิโลเมตร) ไหวไหม แต่กระเป๋าที่ซื้อมาใหม่ดีมากกก

วันก่อนไปมีข่าวพายุเข้า ตื่นเต้นยิ่งขึ้นไปอีก

วันไป ฝนตกหนัก หารถไม่ได้ แบกเป้กับเพื่อนไปขึ้น BTS อารมณ์เหมือนฝึกเดินก่อนไปจริง ไปเจอทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่ Big C สะพานควาย ละก็คิดในใจว่า “หื้ม คนชอบเดินป่านี่มันช่างเยอะจริง ๆ”

คือตรงนั้นมีคนที่เตรียมจะไปเดินอยู่ประมาณหลายกรุ๊ปมาก ละตรงนั้นเป็นที่นัดหมายของหลายทัวร์พร้อมกัน ก็เลยแอบสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย (ว่าไม่โดนไกด์เทแน่นอน เอ๊ะ 555)

ออกจากกรุงเทพประมาณสามทุ่ม กว่าจะไปถึงรีสอร์ทก็ประมาณเจ็ดโมงครึ่ง สิริเวลารวมในรถตู้สิบกว่าชั่วโมง เพราะต้องอ้อมแม่สอดลงมา กินข้าวเช้าตรงนั้น

จากรีสอร์ท นั่งรถสองแถวไปที่จุดสตาร์ทเดิน ประมาณชั่วโมงกว่า ระหว่างทางมีให้แวะซื้อของเตรียมเดินขึ้น รองเท้าเอย หมวกเอย ถุงเท้าเอย คนของขาดไม่ต้องกลัวว่าจะลืมอะไรมาจากบ้านเพราะตรงนั้นมีขายหมด

เริ่มเดินตอนประมาณน่าจะบ่าย ๆ สะพายกระเป๋าที่หอบเครื่องนุ่งทุกอย่างมา เอาหล่ะณัฐชนน เธอจะต้องไปให้ถึงแคมป์ให้ได้

ก้าวแรกที่สัมผัสพื้น รู้สึกได้ถึงความ…

“ลื่น ลื่นเหี้ย ๆ”

ลื่น ลื่นไปหมด มีแต่โคลน มองดูทาง ตีนเหยียบโคลนกำลังพยายามใช้ไม้ค้ำยันเดินไปให้ได้ กับรองเท้าที่เกาะพื้นบ้างไม่เกาะพื้นบ้าง

“นี่กุมาทำอะไรที่นี่” สมองกำลังแอบคิดในใจ ในขณะที่เห็นไกด์เดินแบบโคตรชิลแบบที่ไม่ต้องมีไม้ค้ำ เดินถือร่มแบบชิล ๆ มองไปอีกทางก็เห็นลูกหาบเดินอย่างเซียนเหมือนมาริโอในเกมคอนโซล

ช่วงแรกจะเป็นโคลน ทั้งลื่นทั้งดูด ต่อไปจะเป็นทุ่งนา เดินชิลถ่ายรูปได้ ส่วนปลายทางจะเริ่มเข้าป่า ทั้งชันทั้งเป็นโคลนต้องเดินระวังหน่อย ๆ (ไม่หน่อยอ่ะอีชิบหาย 555) ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็ดูว่าลูกหาบเดินยังไง เดินทางไหน เพราะเขาเดินเซียนสุด ๆ

พอไปถึงก็ตั้งเต้นท์ ห้องอาบน้ำดีมาก ไม่มียุง แต่มีแมลงอื่น ๆ ซึ่งน้อยกว่าที่คิดไว้มาก ๆ

ทัวร์ที่ไปด้วยอาหารการกินดีมากกกกกก (ก ไก่ล้านตัว)

ตอนกลางคืนมีสังสรรค์ร้องเพลงกับคนที่มาด้วย (เกือบทั้งหมดเป็นวัยทำงานกันหมดแล้ว) สนุกไปอีกแบบ เหมือนได้เที่ยวกับคนที่เค้าเป็นผู้ใหญ่กว่าเรา แล้วเราที่ยังเรียนอยู่เป็นส่วนน้อยกว่า 555

ไกด์เตือนว่าเต้นท์ Lotus ถูก ๆ เอาไม่อยู่ เพราะฝนตกหนักเวอร์ น้ำเข้าง่ายมาก

ทุกแคมป์จะมีคูคลองขุดลอกเล็ก ๆ ของตัวเองไม่ให้น้ำเข้ามา แต่ช่วงที่ไป คนเยอะมาก เลยหนีไปกางเต้นท์ตรงกลางที่ว่างระหว่างแคมป์ชาวบ้านเขา (ซึ่งทำให้ล้อมรอบด้วยคูน้ำเล็ก ๆ อยู่ดี)

ช่วงที่ไป พายุเข้า ตากอะไรก็ไม่แห้ง ฝนตกทั่วทุกทิศทาง ทุกอย่างชื้นไปหมด กล้องพังไปเลยช่วงที่อยู่ในป่า (ละฉันจะแบกมาทำไม)

วันที่สอง ขึ้นเขาไปน้ำตกปิตุโกล กับยอดมะม่วงสามหมื่น วันนั้นฝนไม่ตก ทางเลยดีมาก (ไม่ลื่น) แต่ก็ยังเดินยาก หลาย ๆ ส่วนของทางน่าจะมีความชันแบบเกิน 45 องศาแน่ ๆ บางจุดคือไม่มีรอยชัดเจนว่าควรจะเดินใช้เท้าย่ำจุดไหน สรุป ทางแอบน่ากลัว (แต่พอเดินไปเรื่อย ๆ จะเริ่มชินว่า มันก็น่ากลัวแบบนี้ไปตลอดทางน่ะแหละ TT)

คือ จะบอกว่าที่รีวิวทางเดินพวกนี้ค่อนข้างน้อยเพราะว่า 1. ทางโหดจนไม่มีอารมณ์ถ่ายรูประหว่างทาง 2. ถ่ายรูปแม่งไม่เห็นภาพจริง ๆ ว่าแม่งชันขนาดไหน คือต้องไปเจอเองเท่านั้นถึงจะเข้าใจ ความจริงคือควรที่จะเดินกับลูกหาบ (เท่าที่ถามกับคนที่เดินไปด้วย) เพราะทางค่อนข้างอันตราย (คือมีหลายช่วงมากที่แอบคิดในใจว่า ถ้ากุเผลอสะดุดแล้วจะกลิ้งไปหยุดตรงไหนฟะ)

ความจริงมีอีกเหตุผลที่ควรไปกับลูกหาบ คือ ให้เขาช่วยแบกน้ำไปให้ เพราะขึ้นเขาสูงมาก บางคนเอาน้ำไปสองขวดใหญ่ ขวดละลิตรครึ่งไปเลย ระหว่างทางไม่มีน้ำให้เติมเพราะว่าเป็นคนละทางกับน้ำตก

ช่วงที่เดินขึ้นจะมีความคิดในหัวตลอดว่า ตอนกุลงทางเดิมกุจะลงยังไงครับนี่ ทางมันชันมากจริง ๆ

จุดแวะพักระหว่างทางไปยอดสามหมื่นจะมีแค่ หกพัน หมื่นสอง หมื่นห้า สองหมื่น ละก็ข้ามไปสามหมื่นเลย (ถ้าจำชื่อไม่ผิดนะ อันนี้คือได้ยินจากคนที่เดินแซงกับที่เดินสวนกลับมาเรื่อย ๆ)

วิวทิวทัศน์ตรงยอดหมื่นสองสวยสุด จากหลาย ๆ คนที่ถามรีวิวกันมา 555

ความรู้สึกท้าทายตอนขาขึ้นก็คือ ไม่รู้ว่าปลายทางอยู่ตรงไหน แบบ พอขึ้นไปหมื่นสองจะเห็นแค่หมื่นห้า แต่พอถึงยอดหมื่นห้าถึงจะเห็นยอดสามหมื่น อารมณ์แบบว่า ปลายทางไกลกว่าที่คิดมากขึ้นเรื่อย ๆ

สำหรับเรา ความสวยงามของวิวตั้งแต่หมื่นห้าคือมันจะเริ่มไม่เป็นป่าทึบละ แต่จะเป็นคล้าย ๆ ทุ่งหญ้าสูง ๆ แทน แต่เป็นทุ่งหญ้าแบบมองสุดลูกหูลูกตา จะวิ่งเป็นนางเอกโฆษณาอยู่บนทุ่งลาเวนเดอร์ก็ย่อมได้ (แต่ล้มกลางทางแน่นอนเพราะมันชัน 555)

เวลาที่ใช้เดินวันนั้นจำได้ว่านานมาก เริ่มเดินตั้งแต่ประมาณเจ็ดโมงครึ่ง ไปที่น้ำตก (ทางแอบโหด) แล้วออกจากน้ำตก ขึ้นไปทางมะม่วงสามหมื่นตอนประมาณสิบโมงครึ่ง กว่าจะไปถึงคือประมาณบ่ายสาม เดินแบบไม่รีบ พักไปถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ

ระหว่างทางสามารถคุยทักทายกับคนที่ทั้งเดินแซงกับเดินสวนไปเรื่อย ๆ ได้นะ ทุกคนดูเป็นมิตรมาก เป็นอีกส่วนหนึ่งของการเดินทางที่ทำให้รู้สึกว่า เออ สนุกไปอีกแบบว่ะ บางทีเจอทางลำบากก็ถามเค้าได้ว่าเดินยังไงดี

พอไปถึงยอดสามหมื่นจะภูมิใจกับตัวเองประมาณห้านาที เพราะมองลงมาจะเห็นว่ายอดหมื่นสองจะอยู่ต่ำลิบ ๆ พร้อมด้วยความรู้สึกงงกับตัวเองว่า “กุขึ้นมาสูงขนาดนี้เลยหรอ” หลังจากความภูมิใจจะเป็นความเหนื่อยใจแทนว่ากุต้องลงทางเดิมจริงดิ

ตอนขาลงสะท้านความกลัวความสูงของกุมาก อารมณ์เหมือนสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น อุปสรรค์ไม่ใช่เรี่ยวแรงแต่เป็นความกลัวชิบหาย ส่วนตัวแอบคิดว่าลงยากกว่าขึ้น 555 ด้วยความที่ไม่มีคนเดินสวนขึ้นมาแล้วเพราะตกเย็นมาก ก็เลยไม่ต้องแคร์อีกต่อไปว่าท่วงท่าการลงมาจากเขากุจะต้องดูดี สไลด์เอาก้นลงแม่งตลอดทาง 555

ลงมาตั้งแต่สามโมงครึ่ง ถึงประมาณหกโมงครึ่ง แต่รู้สึกว่าตอนลงเขา เวลาไปเร็วมาก เหมือนไม่ถึงสามชั่วโมง

คืนวันที่สอง กลับมาจากแดดร้อน ๆ ของยอดเขา กลับมาเจอฝน ป่วยเลยจ้า ยัดยาพาราไปสองเม็ด

ขากลับเริ่มชิล เพราะเจอทางเดินแบบโคตรพ่อโคตรแม่บนเขาไปแล้ว คราวนี้เริ่มรู้ว่าเท้าลื่นโคลนไปเป็นไรขอแค่ไม่ล้มก็พอ (ตอนขากลับแอบเห็นลูกหาบล้ม เลยเข้าใจว่า โคลนลื่นจริง ทั้งลื่นทั้งดูดแบบเกินความคาดหมาย)

กลับจากจุดสตาร์ทตั้งแต่ก่อนเที่ยงนิด ๆ ถึงรีสอร์ทบ่ายโมงครึ่ง อาบน้ำ กินข้าวเที่ยง ขึ้นรถตู้บ่ายสาม แวะพักริมทางเรื่อย ๆ ถึงกรุงเทพตีสองโดยสวัสดิภาพ

ถึงหอแล้วก็ซักผ้าทันที เพราะปล่อยไว้อีกวันแม่งขึ้นราตายห่าแน่นอน

ใครที่อยากไป แนะนำให้ไปกับไกด์หรือกับทัวร์นะ เรื่องอาหารการกินกับการอยู่ อย่างน้อยเขาจะช่วยคิดให้ ส่วนตัวคิดว่าไปกับเพื่อน หรือถ้าไปคนเดียวก็เอาลูกหาบ หาบน้ำหาบยาไปด้วยจะดีมาก เพราะทางลำบากสัส เรื่องไม่คาดฝันอย่างรองเท้ากัด ข้อเท้าพลิก มือเป็นแผล หรือน้ำดื่มหมด ทำชีวิตบัดซบกลางเขาได้เลย

เออ อีกเรื่อง เราไม้ค้ำไปด้วย ส่วนตัวคิดว่าช่วยชีวิตโดยเฉพาะตอนเดินลงมาก ๆ (คิดไม่ออกว่าถ้าไม่มีไม้ค้ำแล้วจะลงเขาแบบชันสัส ๆ ขนาดนั้นได้ยังไง) คหสต. ทางมันดูอันตรายหลายช่วง

สรุป: ทางโหดท้าทายจิตใจ วิวสวย เหนื่อย ชื้นฝนไปหมด อาหารการกินดีสัส ๆ กลับมาปวดขา ขอบพระคุณ

โพสต์ต้นทาง

Nutchanon J's Stories

รวมบทความของนิสิตคณะวิศวะฯ คนหนึ่งในจุฬา ที่เรียนภาคไฟฟ้า

Powered by Bootstrap 4 Github Pages