Table of Content

ตอบโพสต์ของเพื่อนอีกคนเรื่องประเทศไทย

Table of Content

...

ต้นโพสต์กับคอมเมนต์ในต้นโพสต์พูดแทนใจหมดละ เลยจะขอพูดอะไรที่ยังไม่ค่อยมีคนพูดละกัน

ส่วนตัวคิดว่า พอได้มาอยู่ต่างประเทศนาน ๆ จะทำให้เริ่มมองเห็นข้อดีของประเทศไทยมากขึ้นแบบมโหฬาร (ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นไหมแต่ฉันเป็น 555)

ความจริงเรื่องนี้คิดกับตัวเองมานานมากแล้วแหละ แต่ไม่มีเวลามาเขียน หรืออันที่จริงคือขี้เกียจเขียน เพราะมันเป็นเรื่องที่ multifacet เกินไป พอจะเริ่มเขียนก็เริ่มรู้ว่าตัวเองจะใช้ความรู้สึกมากกว่าข้อมูลที่มีอยู่ ถ้าถามเป็นข้อพิจารณากันจริง ๆ คิดว่า TDRI หรือกลุ่มคนไทยที่ทำงานใน OECD น่าจะตอบได้ดีกว่ามาก ๆ (ซึ่งก็เคยตามเข้าไปอ่านจริง ๆ)

ถ้าเอาแบบสรุป TLDR เลยก็คือ “ไม่เคยหมดหวังกับเมืองไทย”

ถึงแม้ว่าชาติเราจะดูหน่อมแน้มในเชิงเวทีโลกแบบกราย ๆ เข้าข้างรัสเซียบ้าง เคยเอารมต. เกาหลีเหนือมานั่งร่วมวงกับ รมต.ไทย บ้าง เข้าข้างจอมพลพม่าบ้าง ตามไม่ทันตูดมาเลเซียอย่างน่าสมเพชบ้าง กำลังจะแพ้เวียดนามบ้าง nvidia ก็หนีไปตั้งที่อินโดอีก คะแนน PISA ก็ต่ำต้อย ออกข้อสอบ TCAS ระดับประเทศก็ผิด เงินแทบจะไม่มีก็เอาไปแจกคนละหมื่น นายกแม่งก็เสือกเลือกจาก ส.ว. แถมผู้นำที่ผ่านมาก็มีวิสัยทัศน์สุด ๆ หนี้ครัวเรือนบานตะไท สังคมจะเข้ารูปแบบผู้สูงอายุแต่รัฐสวัสดิการก็ไม่มีแถมอดออมก็น้อย ไม่มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีแค่ old industry ตลาดหุ้นหน้าหี ฝุ่นเยอะจนคนตาย วิ่งที่สวนลุมเหมือนตายผ่อนส่ง ฯลฯ

แต่ก็ยังไม่หมดหวัง

เพราะที่ผ่านมาสิบปี เราก็มีการพัฒนาหลายอย่างที่เพิ่มเติมจาก “บุญเก่า” อาทิ

  1. เรามีความเสรีนิยมมากขึ้นแม้ว่าจะไปยังไม่สุด ในโรงภาพยนตร์ไม่จำเป็นต้องยืนสรรเสริญฯ ขบวนเสด็จเริ่มไม่น่ารำคาญเหมือนเมื่อก่อน นักเรียนเริ่มไว้ผมยาวได้ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมกำลังจะผ่าน เราเป็นประเทศที่ถ้าไม่นับเรื่อง 112 ก็ถือว่าเสรีอยู่ นับประเทศจากใต้ของเราก็เป็นอิสลามหมดแล้ว สิทธิ lgbt ไม่ต้องพูดถึง ฝั่งซ้ายก็เผด็จการไม่จบ ฝั่งขวาก็เป็นคอมมี่กับเขมร ส่วนสิงคโปร์ภาพลักษณ์ดูสวยงาม แต่ความจริงก็กึ่ง ๆ พรรคเดียว (เคยมีคนด่าลีกวนยูละโดนตบหน้าศาล แต่ถ้าเราด่าเศรษฐาหรือประยุทธ์ว่าหน้าหีในทวิตคงไม่น่าเป็นอะไร) แถมเกย์เอากันยังผิดกฎหมายอยู่แค่ไม่บังคับใช้ ถ้ากล่าวโดยรวมแล้วยังพอใจกับความ “อะไรก็ได้” ของไทยในแง่นี้
  2. เรามี “บุญเก่า” ที่มากพอเหลือล้นที่จะ “ขายชาติ” ให้กับนักท่องเที่ยวได้เหลือคณา (อาหารไทย วัฒนธรรมไทย ซีรีย์วาย ผู้ชายหล่อ ฯลฯ)
  3. ส่วนตัวยังไม่หมดหวังกับโครงการต่าง ๆ ที่เริ่มตั้งแต่สมัยประยุทธ์ ทั้งเรื่องรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ โครงการ EEC ฯลฯ และความจริงก็ไม่หมดหวังกับโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลเศษรฐาทำ ทั้งเรื่อง softpower กับ landbridge (แค่คิดว่าต้องวางแผนดี ๆ คิดว่ามาถูกทางแค่มันเป็นกึ่ง ๆ old industry ที่ไม่ได้ยั่วยวนใจมาก) กับการเป็นเซลล์แมนของเขา (แต่ก็นั่นแหละ ต้องวางแผนดี ๆ ทั้งเรื่อง human capital ที่ต้องพอ ห้ามขาด) ส่วนเรื่องว่าประเทศไทยถูกแช่แข็งในช่วงรัฐบาลทหารที่ผ่านมา คิดว่าไม่ควรคิดอย่างนั้น เรามี progression ที่ค่อนข้างไปได้ดีในช่วงปี 2014 - 2019 ไทยมีจีดีพีต่อหัวเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง จนมีช่วงปี 2019 ที่รัฐบาลเริ่มมีความหวังว่าจะพาประเทศไทยไปอยู่ระดับประเทศที่มีรายได้สูงได้ แต่มาสะดุดในช่วงหลังโควิดในช่วงสี่ปีหลัง

ความจริงเลยเชื่อว่าถ้าเราสามารถแก้ปัญหาไปทีละเปราะได้ ทั้งเรื่องการศึกษา เรื่องหนี้ครัวเรือน เรื่องฝุ่น ฯลฯ เราก็คงจะพัฒนาต่อได้แบบ ไม่ล่มจม แต่ก็ไม่ได้ไปไวเท่าเสือสี่ตัวที่วิ่งฉับ ๆ ๆ ๆ ไปแล้ว แต่ก็อยู่ได้ ปัญหาตอนนี้ของเราน่าจะเป็นเรื่องของการโตต่ำกว่าศักยภาพ เราควรคงการเติบโตของ GDP ในระดับ 4-5 % แต่ตอนนี้กลับชะงักอยู่ที่ 2-2.5 % (ถ้าจำไม่ผิด) จะแก้ปัญหายังไงระหว่าง 1. ทำเหมือนเดิมคือพยายามจูงต่างชาติมาลงทุนสร้างโรงงานที่ไทย หรือ 2. พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง แต่ส่วนตัวคิดว่าควรทำพร้อมกัน

เรื่องการพัฒนาเทคโนโลยี คิดว่าองค์ประกอบที่จะทำให้เกิดขึ้นได้มีอยู่สองอย่าง

  1. คนมีความรู้พอ มากพอ (ดึงคนต่างชาติมาทำ หรือพัฒนาการศึกษาในบ้านเรา)
  2. รัฐบาลสนับสนุนอย่างถูกระบบ

คิดว่าข้อ 2. รัฐบาลทำมาตลอด ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ข้อ 1. มันแอบติดขัด ถ้าเอาเข้าจริง ส่วนตัวไม่เชื่อว่าไทยผลิตวิศวกรหรือนักวิทย์ที่มีคุณภาพมากพอต่อปี (แต่ยังไม่มีข้อมูล ใครมีก็ฝากแชร์มาได้จ้า) จำได้ว่ามีบริษัทเทคหลายบริษัทที่กะว่าจะมาไทยแต่สุดท้ายไม่มา เพราะไทยสัญญาไม่ได้ว่าจะผลิตคนให้ได้จำนวน xxx ต่อปี ในขณะที่เวียดนามกล้าสัญญา บริษัทเลยกล้าไปลงทุนเยอะ (ไปฟังเขามา)

เรื่องคน คิดว่าเอาเข้าจริงยังมีคนต่างชาติที่อยากเข้ามาทำงานในไทยเยอะ รวมถึงยังมีคนไทยที่ยังอยากกลับมาอีก ขอแค่ระบบการทำวีซ่าของคนต่างชาติดีขึ้นน่าจะดีมาก ๆ (ใน reddit คนต่างชาติบ่นกันฉ่ำมากว่าทำไมต้องไปรายงานตัวที่กรมแรงงานปีละหลายครั้ง) ส่วนตัวพบเจอชาวต่างชาติหลายคนที่ชอบเมืองไทย อยากอยู่ อยากมาทำงาน ถ้าไม่ติดเรื่องความฉิบหายต่าง ๆ ก็อยากจะมา ส่วนคนไทยที่ไปนาน ๆ หลายคนก็อยากกลับ จะทำยังไง ให้รัฐบาลคิดละกัน ขี้เกียจคิดแทน

จบส่งท้ายละ จากการอยู่ไต้หวันมาเกินครึ่งปี ชอบความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าพอแนะนำตัวเองว่าเป็นคนไทยละคนประมาณ 80% จะต้องอึ้งก่อนว่า เชี่ย เมืองไทย อาหารน่าแดก คนม่วน เมืองน่าเที่ยว บาร์เกย์น่าเข้า ฯลฯ รู้สึกมีเสน่ห์ขึ้นมาทันทีจากการแค่เป็นคนไทย เลยยังภูมิใจและยังรักเมืองไทยมาก ๆ แหละ ทุกวันนี้เวลาเขียนชื่อตัวเองในวาระโอกาสต่าง ๆ ที่อยู่ไต้หวันก็พยายามใช้ชื่อไทย ละวงเล็บท้ายชื่อไทยเป็นชื่อจีน (ในขณะที่เพื่อนเวียดนามกับมาเลเซียจะใช้ชื่อจีนเป็นหลัก) เลยมีความรู้สึกว่าตัวเอง identify myself ว่าคนไทยแบบแรงมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวก็เป็นเชื้อสายจีนแบบ 100%

ขออย่างเดียวละกัน ขอแค่รัฐบาลต่อ ๆ ไปอย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้ากว่านี้ ทหารอย่ามายุ่งเหมือนช่วงก่อน แถมมีพรรคการเมืองที่มาจากคนรุ่นใหม่อีกหนึ่งพรรค ถึงโดนยุบก็กลับมาได้ ถ้าปัญหาเรื่องคนเกิดน้อยกับสังคมผู้สูงอายุสามารถคลี่คลายได้โดยการนำเข้าแรงานต่างชาติเข้ามา คิดว่าอีกสิบปีประเทศไทยน่าจะไปได้เรื่อย ๆ แบบไม่ล่มจมและมีความสุขแหละ อาจจะสู้มาเลเซียกับเสือสี่ตัวไม่ได้ หรืออาจจะโดนเวียดแซง แต่ก็อยู่ได้ อยู่ดี อยู่สุข ค่อย ๆ แก้ไปทีละเรื่องเนอะ

ต้นโพสต์

Nutchanon J's Stories

รวมบทความของนิสิตคณะวิศวะฯ คนหนึ่งในจุฬา ที่เรียนภาคไฟฟ้า

Powered by Bootstrap 4 Github Pages